เช่นการทำหุ่นกระบอก
การทำหัวหุ่นกระบอก
หัวหุ่นที่แกะด้วยไม้ มักใช้ไม้เนื้อเบาเช่นไม้ลำพู ไม้นุ่น ไม้ทองหลาง ไม้โมกที่แกะด้วยไม้สักก็มีบ้างเมื่อแกะหน้าหุ่นแล้วปั้นแต่งด้วยรักหรือดินเรียบร้อยแล้วจึงปิดด้วย"กระดาษสา" ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วทาด้วยแป้งเปียกหรือกาวปิดจนทั่วชั้นหนึ่งรอจนหมาดแล้ว "กวด" โดยใช้ไม้หรือด้ามพู่กันกวดให้เรียบทุกซอกทุกมุม ตา จมูก ปากแล้วปิดกระดาษสาอีกจนครบ ๓ ชั้นโดยกวดทุกชั้นจนผิวเรียบแน่นดีจึงทาสีฝุ่นสีขาว(ปัจจุบันใช้สีพลาสติก)สัก ๓ ชั้น รอจนแห้งสนิทดีแล้วขัดผิวหน้าหุ่นด้วยใบลิ้นเสือ(ปัจจุบันใช้กระดาษทรายน้ำ) แล้วจึงเขียนสีพลาสติก)สัก ๓ ชั้นรอจนแห้ง สนิทดีแล้วขัดผิวหน้าหุ่นด้วยใบลิ้นเสือ (ปัจจุบันใช้กระดาษทรายน้ำ)แล้วจึงเขียนสี
การทำลำตัวหุ่นกระบอก
ลักษณะตัวหุ่นกระบอกก็คือไม้กระบอกหรือไม้ไผ่นั่นเองมีไหล่ทำด้วยไม้เจาะรูสำหรับเสียบไม้กระบอกแกนตัว และเสียบหัวหุ่น เสื้อหุ่นเป็นผ้าผืนเดียวกันพับครึ่งเย็บเป็นถุงคลุมไหล่หุ่น เจาะตรงคอสำหรับเสียบหัวและตรงมุมผ้า ๒ ข้างสำหรับมือหุ่นโผล่ มือหุ่นทั้ง ๒ ข้างมีไม้ไผ่เหลาเล็กเสียบต่อจากมือลงมาสำหรับจับเชิด ยาวระดับเดียวกับปลายเท้าด้านล่าง ไม้ไผ่นี้เรียกกันว่า "ตะเกียบ" หุ่นกระบอกแต่ละคณะจะมีสัดส่วนเท่ากันโดยประมาณดังนี้ ไหล่หุ่นยาวจากปลายถึงปลาย ๕ นิ้ว ไม้กระบอกยาวจากไหล่ถึงปลายไม้ ๘ นิ้วเสื้อหุ่นจากปลายเสื้อด้านล่างถึงไหล่ ๑๔ - ๑๕ นิ้ว จากปลายมือข้างหนึ่งถึงอีกข้างหนึ่ง ๑๗ - ๒๐ นิ้วตะเกียบ ๑๕ - ๑๖ นิ้ว ผ้าห่มนาง กว้าง ๘ นิ้ว ยาว ๑๖ นิ้ว จากจีบชายพกถึงคอ ๕ นิ้ว
การทำมือหุ่นกระบอก
มือของหุ่นตัวพระ มือขวาจะถืออาวุธไว้เสมอ จึงมักแกะด้วยไม้มีรูสำหรับเสียบอาวุธเปลี่ยนได้ไปตามเรื่อง เช่น ถือปี่ ถือศร ถือพระขรรค์ ส่วนมือซ้ายก็ตั้งวงอย่างละคร ส่วนมือนางโดยมากจะตั้งวงรำทั้งสองข้าง มีที่มือขวาถืออาวุธบ้าง ถือพัดบ้างเป็นบางตัว มือหุ่นจะแกะด้วยไม้เนื้อเบาทั้งมือซ้าย และมือขวามีบางที่ทำด้วยหนังที่แช่น้ำจนนุ่ม แล้วนำมาขูดจนบางดีจึงตัดผ่าให้เป็นรูปมือมีนิ้วแล้วดัดด้วยลวดให้อ่อน เหมือนมือละครกำลังรำเมื่อนำไปตากแดดจนแห้งแข็งดีแล้วจึงเอาลวดออกนำมาติดกับข้อมือที่ทำด้วยไม้แล้วปิดกระดาษให้ทั่ว จึงทาสีฝุ่นให้เหมือนกับสีผิวหน้าหุ่น
เครื่องประดับศีรษะหุ่นกระบอก
เครื่องประดับศีรษะหุ่นอันได้แก่ ชฎา รัดเกล้า มงกุฎกษัตรีย์ กระบังหน้า ปันจุเหร็จ ตลอดจนหัวช้างหัวม้าฯลฯ มักประดิษฐ์ด้วยวัสดุมีน้ำหนักเบา ชฎาตัวพระส่วนมากจะแกะชั้นเชิงบาตรติดกับศีรษะหุ่นไปเลย บางหัวก็ทำเป็นชฎามาสวมต่างหากส่วนรัดเกล้ามักจะกลึงไม้เนื้อเบาเป็นฐานรัดเกล้าทั้งอัน ปลียอดชฎา ยอดรัดเกล้า ยอดมงกุฎกษัตรีย์ เป็นไม้กลึงทั้งยอด ปันจุเหร็จ กระบังหน้า เปลวรัดเกล้ากรรเจียกจอนมักจะทำด้วยหนังบางๆ หรือสังกะสี ตอกฉลุเป็นลวดลาย แล้วเย็บตรึงด้านในด้วยโครงลวดอีกที การประดับลวดลาย ช่างแต่ก่อนใช้รักผสมขี้เถ้าใบตองเผา และส่วนประกอบอื่นๆอีกบ้าง ถือเป็นสูตรลับในสำนักของแต่ละช่าง เรียกกันว่า "รักตีลาย" รักตีลายนี้ใช้กดลงไปในแม่พิมพ์หินสบู่ ซึ่งแกะเป็นแม่พิมพ์ลวดลายต่างๆเรียบร้อยแล้ว เช่น ลายกระจัง ลายลูกแก้ว ลายกนก ลายก้านขด ฯลฯ หินสบู่ที่ใช้แกะลายแม่พิมพ์นี้ ควรเป็นหินเนื้อละเอียด แกะง่าย ไม่แตก เครื่องมือที่ใช้แกะลายหินสบู่ โดยมากช่างมักใช้เครื่องมือแกะทอง เมื่อประดับกระจังและลวดลายเหล่านี้ไปตามชั้นเชิงบาตรปลียอด และส่วนอื่นๆเรียบร้อยแล้วช่างจะใช้"รักน้ำเกลี้ยง" อันเป็นรักที่ใช้สำหรับปิดทองโดยเฉพาะทาชิ้นส่วนเหล่านี้ให้ทั่วแล้วทิ้งไว้จนรักไม่เยิ้มหรือแห้งสนิทดีแล้ว จึงปิดทองคำเปลวให้ทั่วทุกซอกทุกมุมการตั้งรัดเกล้าสำหรับหุ่นตัวนางช่างจะถักผมคนจริงๆที่มีความยาวประมาณ๑๐นิ้วเข้าเป็นแผงติดกัน นำมาติดเป็นรูปวงกลมบนศีรษะหุ่น แล้วแหวกตรงกลางหน้าผากไปรวบที่ท้ายทอยหุ่น สวมที่รัดช้องจนแน่นหนาดี จึงติดกรรเจียกจอน และตั้งรัดเกล้าเป็นอันดับสุดท้าย
การเขียนสี
สีที่ใช้เขียนคือสีฝุ่น หน้าหุ่นตัวพระตัวนางลงพื้นด้วยสีฝุ่นสีขาว หรือสีขาวนวลเป็นบางตัวส่วนหัวยักษ์ หัวลิงก็ต้องลงพื้นสีขาวด้วยเช่นกันเมื่อขัดเรียบดีแล้ว จึงจะลงสีไปตามพงศ์หน้าหุ่นแต่โบราณเขียนด้วยสีฝุ่นทั้งนั้น และเมื่อเขียนแล้วตกแต่งเสร็จจะเข้าพิธีไหว้ครู อันถือเป็นการเบิกพระเนตรหุ่น ซึ่งจะไม่มีการล้างหน้าหุ่นออก เมื่อนำออกแสดงหลายๆครั้งเข้าก็จะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไป ก็เช็ดล้างไม่ได้เพราะเป็นสีฝุ่น เจ้าของคณะซึ่งไม่ใช่ช่างหรือไม่มีช่างอยู่ในคณะก็จะทาสีฝุ่นทับรอยชำรุด ปรอะเปื้อนนี้ลงไปครั้งแล้วครั้งเล่าบางครั้งก็เขียนหน้าตาทาปากทับฝีมือหุ่นช่างเดิมจนในที่สุดหน้าหุ่นก็หนาเทอะทะ แลดูไม่มีเค้าความงามอันเก่าเหลืออยู่เลย ปัจจุบันการเขียนหน้าหุ่นกระบอกอาจใช้สีอะครีลิคแทนสีฝุ่น


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น